บ้านสองชั้นผนังเปิดออกเป็นสะพานเชื่อมสวนได้
สำหรับเด็กผู้ชายที่เคยดูภาพยนตร์หรือซีรีส์แนวอารณาจักรโบราณจากยุโรป คงเคยได้เห็นภาพปราสาทที่ตั้งตระหง่านอยู่กลางภูเขา ซึ่งจะมีกลไปประตูขนาดใหญ่ที่สามารถเปิดออกมาพาดกับคูเมืองให้กลายเป็นสะพานทางเดินข้ามไปมาได้ ความน่าสนุกตรงนั้นอาจจะเป็นแรงบันดาลใจให้อยากมีบ้านที่มีฟังก์ชันคล้ายๆ กัน แต่เราก็ยังไม่เคยได้เห็นการนำมาใช้กับบ้านจริงๆ ในยุคนี้ จนกระทั่งมาเจอกับบ้านหลังนี้ที่กล้าทำ อาจจะเป็นเพราะบ้านนี้เป็นของสถาปนิกที่พร้อมทดลองอะไรใหม่ๆ นั่นเอง
ออกแบบ : Albert Mo
ภาพถ่าย : Derek Swalwell
เนื้อหา : บ้านไอเดีย
บ้านสองชั้นที่เห็นหลังนี้ เป็นโปรเจ็คการเปลี่ยนแปลงบ้านสไตล์โมเดิร์นยุคกลางศตวรรษที่ 20 ที่เก่าแก่และผ่านการปรับปรุงมาแล้ว ให้กลายมาเป็นบ้านพักอาศัยสำหรับครอบครัวที่มีความสอดคล้องกับความต้องการของผู้อยู่อาศัยเอง โดย Albert และ Architects EAT ได้พยายามคงประวัติศาสตร์หลักๆ เอาไว้ พร้อมกับใส่ความเชื่อมต่อกับสภาพแวดล้อมโดยรอบ และความต้องการของผู้อยู่อาศัยได้อย่างลึกซึ้ง โดยอาศัยแนวคิดหลัก 3 ประการ ได้แก่ การเชื่อมโยง การปรับตัว และการตีความใหม่
คลิกที่ภาพ เพื่อชมภาพขยายใหญ่
สิ่งที่โดดเด่นสะดุดตาที่สุดในด้านนี้ของบ้านคือ ทางลาดสีเขียวๆ บนชั้นสอง ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของผนังบ้านที่มีกลไกหมุนแบบรอก ค่อยๆ ยกผนังออกไปวางแตะอยู่บนพื้นฝั่งตรงข้าม กลายเป็นจุดเชื่อมต่อกับโซนกิจกรรมกลางแจ้งและสระว่ายน้ำขนาดใหญ่ เด็ก ๆ สามารถสไลด์ลงมาเล่นได้ และกลับขึ้นไปยังห้องพักผ่อน ที่เป็นเฉลียงที่มีหลังคาคลุมพร้อมวิวของลานบ้านด้านล่างและยอดไม้ของเพื่อนบ้าน ฟังก์ชันนี้ถูกใจคุณพ่อที่สุดเพราะเขาหลงใหลในกลไกของสะพานชักแบบนี้มาโดยตลอด ทำให้ตัดสินใจทดลองกับบ้านตัวเอง และต้องผ่านการแก้ไขหลายครั้งถึงจะลงตัว
“บ้านหลังนี้ก่อนปรับปรุงดูเก่าและทรุดโทรม มีคนจำนวนมากแนะนำให้รื้อบ้านหลังนี้ทิ้ง แต่บ้านหลังนี้เป็นผลงานออกแบบของปีเตอร์และไดโอนี แมคอินไทร์ ในช่วงกลางศตวรรษที่ 20 ซึ่งมีคุณค่าทางประวัติศาสตร์ ในออสเตรเลียถือว่าการรื้อถอนถือเป็นการกระทำที่ผิดกฏหมาย” เจ้าของบ้านเล่า ด้วยเหตุนี้เขาจึงเลือกปรับปรุงสถาปัตยกรรมนี้ให้ออกมาในลุคแบบโมเดิร์นนิสต์ที่มีความเรียบ เส้นสายคมชัด ส่วนคุณลักษณะดั้งเดิมหลายอย่างได้รับการบูรณะและคงไว้ เช่น สีที่ลอกออกเผยให้เห็นโครงอิฐด้านล่าง คานและขื่อของหลังคาเก่า
โจทย์แบ่งออกเป็นสามส่วนหลัก ส่วนแรกคือการสร้างการเชื่อมต่อระหว่างบ้านกับสวนหลังบ้าน ทั้งในด้านรูปลักษณ์และกายภาพมิติทางสายตาและพื้นที่ ส่วนต่อไปคือการสร้างพื้นที่แยกต่างหากสำหรับลูกสองคนของทั้งคู่ ซึ่งต้องมีความยืดหยุ่นเพื่อให้ตอบสนองและปรับเปลี่ยนตามวัยได้ง่ายที่ผ่านไป ส่วนที่สามคือการปรับปรุงให้ทันสมัยและมีความยั่งยืนโดยยึดตามโครงสร้างแบบโมเดิร์นของบ้าน
ในส่วนของการสร้างการเชื่อมต่อระหว่างบ้านกับสวน ที่ชั้นบนเราได้เห็นการออกแบบผนังที่พับลงมาเป็นสะพานได้ ส่วนในบ้านชั้นล่างอุปสรรคจากผนังเดิมที่ทึบถูกขจัดออกไป โดยใช้ประตูบานเลื่อนกระจกขนาดใหญ่เป็นตัวกลางในการสร้างความต่อเนื่อง ตอบโจทย์ที่ต้องการได้ทั้งในมิติทางสายตาที่หันไปทางไหนก็เจอธรรมชาติ และขยายพื้นที่บ้านออกไปเป็นส่วนหนึ่งของสวนได้ทุกด้าน
ผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม เป็นประเด็นสำคัญที่เขาให้ความสำคัญมาก บ้านหลังเดิมแทบไม่ได้คำนึงถึงความยั่งยืนเลย ดังนั้นสถาปนิกจึงออกแบบใช้พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพ ได้แก่ การใช้พลังงานแสงอาทิตย์ ติดตั้งฉนวนและกระจกสองชั้น การเก็บน้ำฝนสำหรับห้องน้ำ การระบายอากาศแบบลมผ่านอาคาร (Cross Ventilation) การปลูกต้นไม้เพื่อสร้างหลังคาธรรมชาติ และการเพิ่มปริมาณแสงแดดธรรมชาติที่ส่องเข้ามาในบ้านในขณะที่ปกป้องบ้านในช่วงฤดูร้อน
วัสดุหลักๆ เผยให้เห็นถึงจิตวิญญาณของบ้านสไตล์อุตสาหกรรม โครงสร้างเหล็กเปลือย แผงกระจกขนาดใหญ่ ตะแกรงพลาสติก พื้นไวนิล รางประตูโรงนา ตาข่ายสเตนเลส เฟืองและเฟืองท้ายเสริมด้วยไม้อัดเคลือบปูนขาวจากผนังถึงผนังและจากเพดานถึงเพดาน ซึ่งยังทำให้ปริมาตรใหม่นี้แตกต่างจากพื้นด้านล่างอีกด้วย
สำหรับห้องน้ำ เป็นหนึ่งจุดที่ผ่านการออกแบบใหม่ ได้กลิ่นอายมรดกทางวัฒนธรรมเอเชียของผู้เป็นเจ้าของบ้าน โดยใช้กระเบื้องญี่ปุ่นจาก Artedomus อ่างอาบน้ำไม้ ไม้ระแนง และผนังกั้นที่เป็นกระจกฝ้าเพิ่มความเป็นส่วนตัว ใส่ความผสมผสานกันระหว่างการออกแบบแบบโมเดิร์นนิสต์และญี่ปุ่น ซึ่งสถาปนิกพบว่าการเลือกใช้วัสดุบางอย่างมีแนวโน้มไปในทิศทางนี้โดยไม่รู้ตัว
สำหรับอัลเบิร์ต บ้าน Connected House คือบ้านในอุดมคติของเขา นับเป็นความสำเร็จที่ไม่เหมือนใครและคุ้มค่าอย่างยิ่ง “การเป็นลูกค้าและสถาปนิกของเราเองทำให้เราได้เปรียบตรงที่รู้ว่าเราใช้ชีวิตอย่างไรและต้องการใช้ชีวิตอย่างไร” เมื่อเขาไตร่ตรองถึงบ้านที่เขาสร้างขึ้น เขาครุ่นคิดว่า “มันให้ความรู้สึกเหมือนกำลังเล่นเพลงของบ็อบ ดีแลนในบ่ายวันเสาร์ฤดูใบไม้ร่วงที่มีฝนตกหน้าเตาผิง โดยมีเด็กๆ คอยกวนใจอยู่เบื้องหลัง และผมชอบมันมาก”