เครื่องอบผ้าจำเป็นแค่ไหนในเมืองร้อน
ประเทศไทยเราสภาพอากาศร้อนรุนแรงเกือบตลอดทั้งปี ในช่วงที่ร้อนจัดสามารถทำให้ผ้าที่เพิ่งซักตากแห้งได้สนิทในเวลาไม่นาน แต่ด้วยความที่ยังอยู่ในเขตมรสุม มีผลให้บางช่วงของปีจะมีฝนตกกระหน่ำต่อเนื่องกันหลายวัน ใครที่เบื่อฝนตกทำให้ผ้าแห้งไม่ทันใช้งาน มีกลิ่นเหม็นอับ ก็ต้องหอบผ้าออกไปใช้บริการเครื่องอบหยอดเหรียญในบางวัน ทำให้การใช้ชีวิตไม่สะดวก จึงต้องมานั่งนึกทบทวนว่าจริงๆ แล้ว “เครื่องอบผ้า” มีความจำเป็นในเมืองร้อนแดดแรงแบบนี้หรือเปล่า ซื้อมาแพง ๆ จะใช้งานคุ้มไหม จะได้ใช้เฉพาะช่วงฝนตกแล้วทิ้งไว้เฉย ๆ ทั้งปีหรือเปล่า เนื้อหานี้เรามีคำตอบมาให้ครับ
เนื้อหา : บ้านไอเดีย
ทำไมต้องอบผ้า
- ประหยัดเวลา ผ้าแห้งเร็ว ช่วยแก้ปัญหาเสื้อผ้าแห้งไม่ทันในกรณีฉุกเฉินเมื่อฝนตกต่อเนื่องหลายวัน หรือมีความจำเป็นต้องใช้เสื้อผ้าแบบเร่งด่วน สามารถวางแผนชีวิตได้ง่ายขึ้น เพราะซักผ้าได้ทุกเวลาที่ต้องการ โดยไม่ต้องรอสภาพอากาศ ไม่ต้องเผื่อเวลาซักล่วงหน้าเป็นวัน ๆ
- ไม่ต้องยกผ้าหนัก ๆ ออกไปยืนตากแดดนอกบ้าน บ้านก็ไม่เสียทัศนียภาพรบกวนสายตาเพื่อนบ้าน และไม่ต้องกังวลเรื่องการตามเก็บผ้าเมื่อฝนมาหรือมีลมแรง
- ประหยัดพื้นที่ ไม่เสียพื้นที่นำผ้าไปตากแดด สามารถใช้กับห้องขนาดเล็กที่ไม่มีที่ตากผ้า อาทิ คอนโดมิเนียม อพาร์ตเมนท์ หอพัก ได้ โดยวางซ้อนกับเครื่องซักผ้า
- ความร้อนจากการอบและระบบกรองในเครื่องอบ มีส่วนช่วยกำจัดเศษฝุ่น ไร รวมไปถึงขนสัตว์อย่างขนแมว ขนสุนัขออกจากเสื้อผ้าได้ดี
- บางรุ่นจะมีโหมดป้องกันรอยยับ ลดเวลาและขั้นตอนในการรีดผ้า
- การใช้เครื่องอบจะป้องกันฝุ่นละออง หรือฝุ่นพิษ PM2.5 ที่ล่องลอยในอากาศ และกลิ่นไม่พึงประสงค์ที่อาจปนเปื้อนเสื้อผ้าในระหว่างตากผ้า
- เนื้อผ้าหลังการอบจะนุ่มไม่แห้งกรอบ โดยเฉพาะผ้าเช็ดตัว ไร้กลิ่นอับ ปลอดเชื้อโรค เพราะเครื่องอบจะมีโหมดป้องกันภูมิแพ้ หรือฟังก์ชันที่ช่วยฆ่าเชื้อโรคได้ด้วย
- สีของเนื้อผ้าจะไม่ซีดง่ายเหมือนผ้าที่ถูกแสงแดดจัดเป็นเวลานาน
เครื่องอบผ้ามีข้อด้อยไหม
- เครื่องอบผ้าความร้อนสูงอาจจะทำลายวัสดุ คุณสมบัติของผ้า และทำให้เสียรูปทรงได้
- ผ้าและวัสดุบางชนิดก็ไม่สามารถนำเข้าอบได้ เช่น เสื้อผ้าจากเส้นใยสแปนเด็กซ์ (เสื้อชั้นใน-บรา, เสื้อผ้ายืดสำหรับออกกำลังกาย, ชุดว่ายน้ำ และอื่นๆ) ผ้าไหมวัสดุหนังทั้งหนังแท้และหนังเทียม เพราะอาจทำให้หนังแห้ง เกิดรอยแตกจากความร้อน เสียรูปทรง, เสื้อผ้าที่ปักเลื่อม ลูกปัด หรือมีการใช้กาวบนเสื้อผ้า รองเท้า เพราะกาวจะหลุด
- ผ้าบางชนิดเมื่อใช้เครื่องอบกลับเป็นขุยได้ง่าย
- เครื่องอบผ้าทำงานโดยใช้ความร้อน ทำให้พื้นที่รอบๆ เครื่องอบผ้าจะมีอุณหภูมิสูงขึ้น จึงต้องมีพื้นที่ระบายอากาศด้วย
- มีค่าไฟฟ้าที่เพิ่มสูงขึ้น และค่าใช้จ่ายในการดูแลรักษาเครื่อง
- ในการอบบางครั้งใช้โหมดไม่เหมาะสมกับเนื้อผ้า หรือผ้าหลากชนิด มีผ้าเนื้อหนาปะปนผ้าเนื้อบางก็อาจมีบางชิ้นยังชื้นไม่แห้งสนิท
ลองพิจารณาสิ่งเหล่านี้ประกอบค่อยตัดสินใจซื้อ “เครื่องอบผ้า”
1. แค่ความต้องการหรือความจำเป็น
บางครั้งเรามีสิ่งที่ชื่นชอบ อยากได้ แต่ยังไม่ถึงกับเป็นความจำเป็นที่ต้องมี อย่างเครื่องอบผ้าบางคนก็คิดว่าไม่จำเป็น เพราะบ้านเราแดดร้อนเปรี้ยงอยู่แล้ว ในขณะที่บางบ้านบ้านที่ไม่มีพื้นที่มากพอสำหรับตากผ้านอกบ้าน บ้านที่อยู่ในเขตฝนตกชุก หรือสมาชิกในบ้านต้องหมุนเวียนใช้เสื้อชุดฟอร์ม ชุดนักเรียน จะมีปัญหาเรื่องเสื้อผ้าแห้งไม่ทันใช้ รวมถึงบ้านที่มีเด็กอ่อนเพิ่งคลอด ที่ต้องดูแลเรื่องสุขอนามัยอย่างดี เสื้อผ้าไม่ควรชื้นขึ้นรา และเด็กบางคนแพ้ผ้าอ้อมสำเร็จรูป ต้องใช้ผ้าอ้อมผ้าที่เปลี่ยนวันละ 10-20 ผืน การมีเครื่องอบผ้าจะช่วยแก้ปัญหาผ้าไม่พอใช้ได้ในเวลาคับขันได้มากทีเดียวครับ
2. งบประมาณค่าเครื่องอบผ้าและค่าไฟ
ราคาของเครื่องอบผ้านั้นไม่ถูกเลยครับ แต่ก็ยังมีให้เลือกหลายแบรนด์ หลายระบบ หลายรุ่น เช่น ระบบลมร้อน ระบบควบแน่น ระบบปั๊มความร้อน ซึ่งช่วงราคามีตั้งแต่หลักพันปลายๆ ไปจนถึงราคาหลายหมื่นบาท ตามขนาดความจุและฟังก์ชันที่เสริมเพิ่มมาในตัวเครื่องด้วย หากสนใจจะซื้อก็ต้องเตรียมงบประมาณในรุ่นที่คำนวณแล้วว่าคุ้มค่ากับการใช้งาน คือ พอดีกับความถี่ในการใช้งานและปริมาณเสื้อผ้าของสมาชิกในครอบครัว อีกทั้งยังต้องเผื่อเป็นค่าใช้จ่าย “ค่าไฟ” ที่เพิ่มเติมเข้ามาแน่นอนในทุกเดือน ซึ่งจะมากหรือน้อยก็ขึ้นอยู่กับความถี่ในการใช้งาน ระยะเวลาในการอบแต่ละรอบ (1-2ชม.) โปรแกรมอบเลือก (Dry, Extra Dry, กันยับ ฯลฯ) ชนิดของผ้าที่อบ และอัตราค่าไฟฟ้าในช่วงนั้นๆ
โดยสรุปคร่าวๆ ในส่วนเรื่องความกินไฟและการคำนวณค่าไฟ พบว่า แต่ละระบบกินไฟไม่เท่ากันครับ เครื่องอบผ้าระบบปั้มความร้อน (heat pump) จะกินไฟน้อยที่สุด (ประมาณ 1,000 วัตต์ /ชั่วโมง) รองลงมาคือเครื่องอบผ้าระบบลมร้อน (ประมาณ 1,650 วัตต์ /ชั่วโมง) และเครื่องอบผ้าระบบควบแน่นที่จะกินไฟสูงที่สุด (ประมาณ 2,000 วัตต์ /ชั่วโมง) ทั้งนี้โดยปกติแล้วเครื่องอบผ้าจะใช้ไฟประมาณ 650-2,500 วัตต์ / ชั่วโมง ถ้าใช้ไฟฟ้าในการทำงาน 1,000 วัตต์ /ชั่วโมง ค่าไฟ 1 หน่วย = 5- 6 บาท
ยกตัวอย่างการคำนวณค่าไฟ : โดยคิดค่าไฟที่หน่วยละ 6 บาท
เครื่องอบผ้าระบบควบแน่น ซึ่งเป็นระบบที่กินไฟมากที่สุด ใช้เวลาอบ 1 ชั่วโมง คิดเป็น 2.00 x 6 บาท = 12 บาท หากใช้โปรแกรม Extra dry + กันยับ จะใช้เวลาอบประมาณ 2 ชั่วโมง ค่าไฟประมาณ 24 บาท/ครั้ง
ถ้าอบผ้าสัปดาห์ละ 2 ครั้ง รวม 8 ครั้งต่อเดือน ราคาค่าไฟ 24×8 = 192 บาท ซึ่งน้อยกว่าค่าไฟเปิดแอร์มากทีเดียวครับ
3. ความต้องการใช้งานพิเศษ
สำหรับบางครอบครัว อาจไม่ได้ต้องการคุณสมบัติการอบผ้าให้แห้งเพียงอย่างเดียว อย่างเช่น บางบ้านมีปัญหาสมาชิกในบ้านเป็นภูมิแพ้ หรือเลี้ยงสัตว์แล้วขนสัตว์ติดตามเสื้อผ้า กางเกง ซึ่งอาจทำให้ดูไม่ดีเมื่อสวมใส่เสื้อตัวนั้น ๆ ซึ่งฟังก์ชั่นเสริมต่างๆ ของเครื่องอบผ้าบางรุ่น ก็จะตอบสนองกับการใช้งานที่เหมาะกับไลฟ์สไตล์ของผู้ใช้ได้
4. ความสะดวกในการติดตั้ง
เครื่องอบผ้าบางรุ่นต้องทำระบบระบายน้ำ มีพื้นที่ว่างข้างเคียงและช่องทางระบายอากาศเพื่อไม่ให้ความร้อนจากเครื่องอบสะสมภายใน รวมทั้งบางรุ่นก็มีขนาดใหญ่มาก จำเป็นต้องศึกษาเรื่องความสะดวกในการติดตั้งและการ service ในภายหลังด้วย
5. ประกันและบริการหลังการขาย
เครื่องใช้ไฟฟ้าทุกชนิดมีโอกาสในการใช้งานแล้วเจอแจ็คพ็อตที่จะติดขัด ไม่สามารถใช้งานอบผ้าได้ตามที่แบรนด์ได้ระบุไว้ ก่อนเลือกซื้อจึงควรเช็กให้ดีว่าแบรนด์นั้นๆ มีประกันครอบคลุมเรื่องอะไรบ้าง รับประกันนานกี่ปี บริการหลังการขายเป็นอย่างไร มีศูนย์และช่างที่เข้ามาดูแลเรื่องการซ่อมสะดวกไหม อะไหล่เครื่องอบผ้าหาซื้อยากหรือง่าย เป็นต้น
เป็นอย่างไรบ้างครับ กับข้อมูลเรื่องเครื่องอบผ้า คิดว่าคงจะครอบคลุมในสิ่งที่คุณพ่อบ้านแม่บ้านอยากทราบกันพอสมควรนะครับ ส่วนควรจะซื้อหรือไม่นั้น อันนี้ตอบยากจริงๆ เพราะแต่ละบ้านมีความสะดวก ความถนัดใช้งาน พื้นที่ และงบประมาณไม่เท่ากัน บางคนก็สะดวกหอบผ้าไปอบเป็นครั้งๆ ในช่วงฝนตกมากกว่า ไม่มีเครื่องอบก็ไม่เป็นไร แต่เท่าที่ “บ้านไอเดีย” ลองติดตามอ่านจากกระทู้ถามเรื่องงานบ้าน ก็จะเห็นความคิดเห็นว่าคุณแม่บ้านที่ใช้ต่างพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า เมื่อมีเครื่องอบผ้ามาเป็นสมาชิกในบ้านแล้ว รู้สึกได้เลยว่างานบ้านไม่ค่อยเหนื่อย มีเวลาทำงานอื่นมากขึ้น และอารมณ์ก็ดีขึ้นด้วยครับ