Double Skin Facade เชื่อมต่อธรรมชาติเข้าสู่ภายใน
ธรรมชาตินำมาซึ่งประโยชน์ต่อสุขภาพมากมาย แต่ยิ่งเวลาผ่านไปคนกับธรรมชาติก็ห่างกันไปเรื่อยๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในชีวิตสมัยใหม่ที่ผู้คนใช้เวลาถึง 90% ของชีวิตภายในอาคาร ไม่สามารถเข้าถึงสัมผัสของต้นไม้ ลม น้ำได้ตลอดเวลา ดังนั้นในบ้านจึงไม่ควรมีขอบเขตระหว่างธรรมชาติกับมนุษย์ อย่างน้อยๆ ก็ต้องมีต้นไม้ ที่ว่าง ให้หายใจโล่งๆ เด็กๆ สามารถเล่นได้อย่างอิสระในขณะที่ยังคงสัมผัสได้ถึงการเคลื่อนไหวที่แตกต่างของสภาพแวดล้อม แต่ที่ตั้งบ้านบางหลังอยู่ใจกลางเมืองที่ดินติด ๆ กัน จะแทรกที่ว่างและธรรมชาติเข้าไปอย่างไร เนื้อหานี้เรามีคำตอบมาให้ครับ
ออกแบบ : A+ Architect
ภาพถ่าย : Hiroyuki Oki
เนื้อหา : บ้านไอเดีย
โฮจิมินห์ซิตี้ เป็นเมืองใหญ่ในเวียดนาม ซึ่งแน่นอนว่าใจกลางเมืองแบบนี้ย่อมมีบ้านสร้างอยู่ใกล้กันแบบแทบไม่มีช่องว่าง เราจะทำให้พื้นที่อยู่อาศัยโปร่งสบายและใกล้ชิดธรรมชาติมากขึ้นได้อย่างไร? ข้อนี้เป็นโจทย์ที่ท้าทายสำหรับทีมออกแบบในการสร้างบ้านที่เชื่อมโยงกับแสง ลม ฝน ต้นไม้ และสภาพอากาศของเวียดนาม ในขณะที่ต้องมีความเป็นส่วนตัวด้วย บนพื้นที่ 330 ตร.ม. จึงได้สร้างบ้านที่สามารถ “หายใจ” ได้ขึ้น โดยเจ้าของบ้านเลือกใช้โครงสร้างเหล็กแทนคอนกรีตเสริมเหล็กแบบเดิมๆ ผสมผสานวัสดุไม้จำนวนมาก เพื่อสร้างพื้นที่อยู่อาศัยที่กลมกลืนกับธรรมชาติ
คลิกที่ภาพ เพื่อชมภาพขยายใหญ่
จุดที่เด่นที่สุดในส่วนหน้าของบ้าน คือ ผนัง ซึ่งสถาปนิกได้นำโซลูชันที่เรียกว่า “Double Skin Facade” มาใช้ โครงสร้างนี้ประกอบด้วยระบบบานเกล็ดไม้ Thermo Wood (ไม้ที่ผ่านการอบด้วยความร้อนตั้งแต่ 180°C ขึ้นไป เพื่อเพิ่มความทนทานสามารถใช้งานภายนอกได้) ในส่วนเปลือกอาคารด้านนอก รวมกับระบบกระจกบานเลื่อนด้านใน เป็นการแก้ปัญหาแบบ 2 ใน 1 แก้ปัญหาทั้งแสงแดดและลม ให้สามารถทะลุเข้าไปข้างในได้ตามธรรมชาติสมกับชื่อ EcoBreeze พร้อมทั้งผสมผสานหลักฮวงจุ้ย ด้วยเหตุนี้ บ้านจึงสามารถ “ระบายอากาศ” ได้อย่างเต็มที่
ความถี่ของไม้แต่ละแผ่นที่เรียงตัวกันในชั้นนอก ยังช่วยพรางสายตาสนองความต้องการของเจ้าของบ้านที่อยากมีพื้นที่อยู่อาศัยที่เป็นส่วนตัวและครบครัน ที่ชั้นล่าง เราจะเห็นผนังชั้นในที่เป็นกระจกอยู่ลึกเข้าไป ทำให้เกิดพื้นที่ว่างระหว่างผนัง แต่ด้วยความใสของกระจก ทำให้บ้านดูโปร่งอิสระเหมือนไม่มีผนัง ภายในยังไม่ได้แบ่งเป็นห้องเล็กห้องน้อย ทำให้เกิดพื้นที่ว่างรวมๆ กันกินพื้นที่มากกว่า 45% ของพื้นที่โดยรอบ 3 ด้านของพื้นที่ใช้งานหลัก สมาชิกครอบครัวจึงสามารถสัมผัสกับธรรมชาติในแนวนอนได้
พื้นที่ใช้งานชั้นล่างทั้งหมด เป็นส่วนสาธารณะที่ทุกคนในครอบครัวสามารถมาใช้งานได้พร้อมๆ กัน โดยรวมเอามุมนั่งพักผ่อนติดกับบ่อปลาขนาดใหญ่ โซนทำครัว โต๊ะทานข้าว พื้นที่กลางแจ้งเป็นลานตรงกลางเชื่อมต่อทั้งหมดเป็นบริเวณเดียว ด้วยวิธีการแบบนี้บ้านจึงได้รับทั้งไอเย็นจากน้ำ แสงแดดที่พอดีไม่รุนแรงเกินไป พื้นที่ระบายอากาศให้ไหลเวียน และความสะดวกในการใช้งาน พร้อมทั้งทำให้บ้านประหยัดพลังงานไฟฟ้าในช่วงกลางวัน เมื่อรู้สึกว่ามีควัน ฝุ่น หรือกลิ่นไม่พึงประสงค์ก็ปิดประตูกระจกได้ทุกด้าน
การบูรณาการของธรรมชาติไม่ได้หยุดอยู่แค่ในแนวนอนเท่านั้น แต่เพิ่มในมิติของแนวตั้งด้วย โดยการเจาะเพดานช่วงกลางบ้านขึ้นไปเป็นที่ว่างโถงสูงล้อมต้นไม้ใหญ่เอาไว้ เหนือจุดนี้มีช่องรับแสงด้านบน (skylight) เพื่อสร้างแกนแนวตั้งที่เชื่อมต่อกับธรรมชาติอย่างสมบูรณ์แบบ สถาปนิกยังให้ความสำคัญกับหลักฮวงจุ้ยด้วย สังเกตจากการจัดห้องครัวให้อยู่ในตำแหน่งตรงกลางบล็อกชั้นล่าง และวางให้เอียง 45 องศา เมื่อเทียบกับทิศทางหลักของบ้าน
ห้องนอนส่วนตัวถูกจัดไว้ที่ชั้นบน เพื่อให้มีความสงบและผ่อนคลาย โดยผนังจะเป็นกระจก ทำให้เห็นห้องตรงข้ามและมองดูต้นไม้ที่คอร์ทได้จากปลายเตียง
พื้นที่นี้เปรียบเสมือนสภาพแวดล้อมทางธรรมชาติขนาดจิ๋ว ช่วยให้ต้นไม้พื้นเมืองที่มีทรงพุ่มขนาดใหญ่ได้เติบโตและพัฒนาอย่างยั่งยืน ช่องว่างขนาดใหญ่นี้ทำให้บ้านมีช่องทางในการสื่อสารมากขึ้นด้วย แม้จะอยู่คนละชั้นสมาชิกในยังสามารถมีปฏิสัมพันธ์กันผ่านพื้นที่เหล่านี้ได้ และอีกหนึ่งองค์ประกอบที่แสนพิเศษ คือ หลังคาเหนือคอร์ทยาร์ทนี้เป็นแบบที่มีกลไกเปิดให้กลายเป็น open space รับแสงธรรมชาติ ลม วิวท้องฟ้า และเลื่อนมาปิดได้เมื่อสภาพอากาศไม่เอื้ออำนวย เป็นบ้านสไตล์ทรอปิคอลที่ทำให้ลืมเรื่องความร้อนความชื้นไปได้เลย
แปลนบ้าน