บ้านโมเดิร์น กลมกลืนธรรมชาติ

ไซ่ง่อนเป็นเมืองใหญ่ของเวียดนามที่มีความหนาแน่นของการขยายตัวของโครงสร้างพื้นฐาน ความแออัดของพาหนะที่สัญจรไปมา และจำนวนประชากรที่สูงที่สุด ทำให้ทุกซอกซอยเต็มไปด้วยผู้คนและอาคารบ้านเรือน จนแทบไม่มีที่ทางให้หายใจ มองหามุมผ่อนคลายจากธรรมชาติก็เหลือน้อยเต็มที ซึ่งสภาวะนี้ก็ไม่ต่างจากเมืองใหญ่ในประเทศอื่น ๆ (รวมถึงไทยเราด้วย) แต่วันนี้เราจะพามาสัมผัสสิ่งที่ตรงกันข้าม กับแบบบ้านที่ใส่แนวคิดใหม่ ๆ ทำให้เกิดช่องว่างสีเขียวแบบส่วนตัว ให้ผู้อยู่อาศัยได้หลบหลีกความวุ่นวายมาพักใจในความเงียบสงบและใช้ชีวิตท่ามกลางความกลมกลืนกับธรรมชาติแบบไม่ต้องมองหาที่ไหนไกล ๆ

ออกแบบ : Mia Design Studio
เนื้อหา : บ้านไอเดีย

บ้านที่มีต้นไม้ทะลุผนังและเพดาน

ด้วยบริบทของเมืองที่เกริ่นมาตอนต้น ทำให้การก่อสร้าง Sky House ตึก 3 ชั้นมีดาดฟ้าหลังนี้อยู่ในท่ามกลางตึกสูงระฟ้าที่อยู่ติด ๆ กัน ซึ่งทำให้เกิดความรู้สึกว่าตัวบ้านเหมือนตั้งอยู่ที่พื้นหุบเขา จึงค่อนข้างยากในการสร้างพื้นที่เปิดและการระบายอากาศในบ้าน แต่ก็ไม่เกินความสามารถของสถาปนิก ที่ผนวกรวมความปรารถนาที่จะลดผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อมของอาคารให้น้อยที่สุด เข้ากับบุคลิกภาพของเจ้าของบ้านที่รักความสงบและต้องการใช้ชีวิตชิดใกล้ธรรมชาติ นำมากำหนดภาพที่ชัดเจนสำหรับแผนสถาปัตยกรรม ที่ทำให้เกิดความต่อเนื่องสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์กับมนุษย์ และมนุษย์กับธรรมชาติในบ้านหลังนี้

การแก้ปัญหาเรื่องแสง ลม และการระบายอากาศ เป็นหัวใจหลัก ๆ ของบ้านนี้ ซึ่งสถาปนิกแก้ปัญหาด้วยการเพิ่มช่องว่างบนผื้นผนังอาคารและทำขนาดใหญ่ขึ้น เพื่อให้องค์ประกอบทางธรรมชาติสามารถแทรกผ่านทุกมุมของพื้นที่อยู่อาศัย จากแปลนบ้านและภาพด้านบนจะเห็นว่ารอบ ๆ อาคารเต็มไปด้วยช่องหน้าต่างสี่เหลี่ยมขนาดต่าง ๆ กัน และผนังด้านนอกมีกระถางสำหรับปลูกต้นไม้ไว้รอบบ้าน มองเห็นต้นและใบไม้ทะลุออกมาได้ทุกจุด ภายในตัวบ้านแบ่งบ้านออกเป็นสองส่วน ครึ่งแรกนั้นเน้นเปิดออกรับแสงอาทิตย์ ลม ไอเย็นจากน้ำ และต้นไม้ จากนั้นจะคั่นด้วยที่ว่างเปล่า (void) ขนาดใหญ่ตรงกลาง ส่วนอีกครึ่งหนึ่งจะใช้เป็นพื้นที่สำหรับกิจกรรมครอบครัวที่จัดสไตล์มินิมอล

ต้นไม้เหล่านี้นอกจากจะเพิ่มความเขียวขจีให้บ้านแล้ว ยังช่วยเป็นปราการกรองฝุ่น ควัน มอบอากาศบริสุทธิ์ และทำให้บ้านมีชีวิตชีวาลดความแข็งกระด้างของตัวอาคารลง

บ้านทรอปิคอลใส่ธรรมชาติตามใจ

สถาปัตยกรรมเป็นสิ่งมีชีวิตที่ต้องการพื้นที่หายใจเหมือนกับคน แนวคิดนี้เป็นที่มาของการเปิดผนังในแนวนอนทั้งสี่ด้านของบ้าน ให้อากาศใหม่เดินทางไหลเข้าและอากาศเก่าออกได้สบาย และสร้างการเชื่อมต่อในแนวตั้งระหว่างบ้านกับท้องฟ้า ด้วยการเจาะบ้านเป็นโถงสูงเหนือห้องทานข้าวชั้นล่างสุดต่อเนื่องขึ้นไปจนถึงชั้นบนสุด วิธีการนี้อนุญาตให้บ้านรับธรรมชาติได้จากทางอ้อม และทำให้เรารู้สึกถึงการเปลี่ยนแปลงของสภาพอากาศได้ในเวลากลางวัน สถาปัตยกรรมนี้จึงไม่ได้ขึ้นอยู่กับบริบทแวดล้อมอีกต่อไป แต่ได้สร้างภูมิทัศน์ที่กำหนดเองได้อยู่ภายในไม่เปลี่ยนแปลง

ในบ้านเขตร้อนชื้น ต้องการทั้งแสงแดด ลม และไอเย็นของน้ำ บ้านนี้จึงแบ่งพื้นที่ด้านหน้าถัดจากโรงรถเป็นสระเลี้ยงปลาขนาดใหญ่เป็นรูปร่างตัว L ตามแนวอาคารที่คลุมกันร้อนด้วยหลังคาไม้ระแนง มีพื้นที่นั่งเล่นกึ่งกลางแจ้งเอาไว้ให้มารับบรรยากาศเย็นสบายแบบไม่ต้องกลัวร้อน ด้วยการออกแบบที่ทำให้บ่อปลาดูเหมือนไร้ขอบมองแทบไม่เห็นขอบสระ จากสระปลามองเข้าไปในพื้นที่ใช้งานสาธารณะจะดูเหมือนบ้านลอยตัวอยู่กลางน้ำ เหนือมุมทานข้าวมีลำแสงส่องลงมายิ่งทำให้บ้านดูแปลกตาไม่เหมือยใคร

ช่องว่างกลางบ้านเชื่อมต่อธรรมชาติและคน

การใส่พื้นที่ว่าง (void) ลงในใจกลางบ้าน นอกจากเป็นการเชื่อมต่อในแนวตั้ง ให้ลมและแสงสามารถเดินทางจากข้างล่างขึ้นข้างบนและระบายออกได้สะดวก แสงส่องลงมาทั่วบริวเณ ลดปัญหาขาดแสงในบ้านหลาย ๆ ชั้นแล้ว ช่องเปิดบนผนังที่อยู่ล้อมรอบโถงสูงเหล่านี้ ยังกลายเป็นเส้นทางหลักของบ้านที่ผู้ปกครองและเด็กสามารถสื่อสาร มองเห็นกันและกันจากทุกมุม

การเชื่อมต่อระหว่างมนุษย์และธรรมชาติถูกแสดงออกมาหลายวิธีที่นี่ หนึ่งในนั้นคือการจัดวางสวนเล็ก ๆ เอาไว้ในหลาย ๆ มุม ไม่ว่าจะเป็นโซนนั่งเล่น หน้าห้องนอน สวนหน้าบ้าน สวนหลังบ้าน หรือแม้แต่ในห้องน้ำ บางจุดเจาะเปิดเพดานให้ต้นไม้สามารถโตเป็นส่วนหนึ่งของบ้านได้อย่างแนบสนิท

ต้นไม้ทะลุใจกลางบ้าน

ต้นไม้จากลานชั้นสอง โผล่ทะลุเพดานขึ้นมาถึงห้องนอนชั้นบนสุด สร้างประสบการณ์ในการอยู่อาศัยที่เรียบง่ายแต่น่าตื่นตาตื่นใจ นี่คือวิธีที่แสดงให้เห็นอย่างเด่นชัดว่าสถาปัตยกรรมสามารถรักษาจิตวิญญาณของผู้คนโดยกลมกลืนกับธรรมชาติได้อย่างไร ดั่งคำพูดของ Vincent van Gogh ศิลปินผู้รังสรรค์ภาพธรรมชาติจากปลายพู่กันอันโด่งดังที่กล่าวว่า “ถ้าคุณรักธรรมชาติอย่างแท้จริงคุณจะพบกับความงามได้ทุกที่”