บ้านฟาซาดบล็อกช่องลม

เวียดนามเป็นหนึ่งประเทศที่มีพัฒนาการทางด้านสถาปัตยกรรมที่น่าจับตามมอง เพราะในขณะที่รูปลักษณ์บ้านจะดูใหม่ขึ้น ฟังก์ชันการใช้งานสอดคล้องกับไฟล์สไตล์ปัจจุบันมากกว่าเดิม แต่สิ่งที่เป็นซิกเนอเจอร์หนึ่งของสถาปนิกเวียดนามคือ การใช้วัสดุในท้องถิ่นมาสอดแทรกในบ้านเสมอ ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงความร่ำรวยของวัฒนธรรม ในขณะที่การออกแบบยกระดับวัสดุให้ทำงานได้ดีขึ้น เหมือนบ้านหลังนี้ที่เป็นบ้านใหม่สร้างเพื่อคุณแม่ แต่ไม่ทิ้งกลิ่นอายความเป็นบ้านแบบชนบท และใส่เรื่องราวที่คุ้นเคยป็นส่วนหนึ่งของชีวิตประจำวันของผู้อยู่อาศัย ณ ที่แห่งนี้ความทรงจำของครอบครัวจะถูกบันทึกลงในอิฐแต่ละก้อนและส่งต่อกันไปสู่คนรุ่นหลัง

ออกแบบ : Nghia Architect
เนื้อหา : บ้านไอเดีย

บ้านที่ตอบโจทย์สภาพอากาศและการใช้ชีวิต

Maison A เป็นชื่อของโครงการบ้านหลังนี้ในประเทศเวียดนาม ซึ่งเดิมเป็นของคุณแม่ผู้สูงวัยที่อาศัยอยู่ในหมู่บ้านชายฝั่งน้ำนามดินฮ์ตลอดชีวิตของเธอ เมือลูกชายของเธอที่เติบโตขึ้นมาและตั้งรกรากอยู่ในเมือง ก็ต้องการสร้างบ้านหลังนี้ให้กับแม่ของเขาหลังจากที่พ่อของเขาเสียชีวิต ซึ่งที่ตรงนี้เป็นเหมือนสถานที่ที่จะกลับไปใช้ชีวิตในวัยเด็กที่เคยใช้ชีวิตแบบครอบครัวดั้งเดิม แต่ปรับเปลี่ยนไปในรูปลักษณ์ที่ทันสมัยขึ้น นอกจากผสมผสานสถาปัตยกรรมดั้งเดิมของหมู่บ้านชนบทดินฮ์ เข้ากับรูปแบบฟังก์ชันใหม่ ๆ แล้วยังคำนึงถึงการดีไซน์ให้สอดคล้องกับการดำเนินชีวิตและสภาพอากาศด้วย

คลิกที่ภาพ เพื่อชมภาพขยายใหญ่

การออกแบบเน้นวิจัยวัสดุเชิงลึก เพื่อนำความสะดวกสบายของการใช้ชีวิตที่ทันสมัยเข้ามาในหมู่บ้านชายฝั่งที่สภาพอากาศค่อนข้างผันผนวนและมักจะเผชิญกับพายุใหญ่เสมอ ด้วยเหตุนี้บ้านจึงประกอบด้วยปราการ 3 ชั้นที่มีความยืดหยุ่นในการใช้งาน แบ่งเป็นผนังชั้นนอกสุดทำจากอิฐช่องลมนำแสงธรรมชาติและอากาศบริสุทธิ์เข้ามาในบ้านในช่วงกลางวัน ผนังชั้นในเป็นชั้นกระจกที่แข็งแกร่ง ส่วนปราการด้านนอกตัวบ้านอีกชั้นหนึ่งคือ แนวต้นไม้ช่วยบังเพิ่มความเป็นส่วนตัวมากขึ้นพร้อม ๆ กับให้ร่มเงาเพิ่มความเย็นสบายให้กับบ้าน

นำบรรยากาศธรรมชาติสู่ภายใน

เมื่อเปิดประตูก้าวเข้ามาสู่ตัวบ้าน เราจะยังคงรู้สึกว่าเดินอยู่นอกบ้านเพราะพื้นที่ภายในเต็มไปด้วยแสงที่ส่องลอดเข้ามาผ่านผนังช่องลม พื้นทางเดินแผ่นหินขนาดใหญ่ที่วางเป็นจังหวะสลับกับกรวดสีขาวที่ปูนำสายตาเข้ามา ผนังอิฐศิลาแลง ต้นไม้ที่ปลูกไว้ในใจกลางบ้าน ทุกองค์ประกอบเชื่อมต่อความรู้สึกทำให้บรรยากาศเหมือนอยู่ในสวน

วิธีการก่อสร้างและตกแต่งบ้านนี้ ใช้เทคนิคการก่อสร้างแบบชนบทผสมผสานเทคโนโลยีที่ทันสมัย ตัวอย่างเช่น ผนังห้องที่เชื่อมต่อห้องนอนกับพื้นที่ห้องนั่งเล่น ซึ่งทำจากหินศิลาแลงพิเศษ (เรียกว่า “ไฮฟ์สโตน”) เป็นวัสดุธรรมชาติที่มีเนื้อพรุนหยาบจากภูมิภาค Son Tay จึงต้องเชิญช่างหินท้องถิ่นให้เข้าร่วมในกระบวนการก่อสร้าง ในขณะที่ “ไฮฟ์สโตน” มักไม่ใช้ในอาคาร เพราะความหยาบและไม่เท่ากันแม้แต่ก้อนเดียว ช่างฝีมือที่นี่จึงเผชิญกับความท้าทาย ที่ต้องใช้เครื่องมือและเทคนิกใหม่ ๆ ในการตัดหินทุกก้อนให้มีความแม่นยำทางสถาปัตยกรรม

มุมนั่งเล่นจะเห็นได้ชัดเจนว่าผนังบ้านมี 2 ชั้น ชั้นนอกเป็นอิฐช่องลมลายดอกไม้ Bat Trang ที่เปิดให้บ้านหายใจ และสามารถมองออกไปเห็นความเคลื่อนไหวภายนอกได้ ชั้นในเป็นบานกระจกเลื่อนปิด-เปิดได้ ช่วยให้คุณแม่สามารถปิดบ้านได้อย่างง่ายดายในเวลาที่มีพายุใหญ่ การใช้งานจึงยืดหยุ่นและตอบโจทย์กว่าผนังก่อฉาบปิดทึบ สำหรับการในช่วงวันหยุดคุณแม่จะชอบอยู่บ้านกับลูก ๆ และหลาน ๆ ที่จะมาเยี่ยม ด้วยเหตุนี้ในบ้านจึงมีช่องว่างที่หลากหลายสำหรับรองรับแขกพิเศษแบบสบาย ๆ

ศิลปะบนผนังปูนเปลือยลายใบกล้วย

ผนังมุมนั่งเล่นเป็นปูนเปลือย แต่ถ้าสังเกตดี ๆ จะเห็นว่ามีลายใบกล้วยอยู่ ซึ่งตรงนี้มีที่มาที่ไปคือ เมื่อสถาปนิกพูดกับเจ้าของบ้าน เขาจำได้ว่าที่บ้านเคยมีสวนกล้วยที่ปลูกอยู่รอบ ๆ บ้านและชอบมากมาก หน่วยความจำในวัยเด็กที่ยังคงชัดเจนนี้เองเป็นแรงบันดาลใจให้สถาปนิกนำภาพเก่าที่คุ้นเคยในมาใส่ความเชื่อมต่อให้ชัดเจนขึ้นอีกครั้งในบ้านใหม่ กระบวนการตกแต่งผนังใช้วิธีทำภาพพิมพ์จากลักษณะร่องลึก (intaglio method) โดยใช้มือกดเพื่อถ่ายโอนความงามที่สัมผัสได้ของใบตองลงบนพื้นผิวคอนกรีตที่กำลังหมาด ๆ

มิติของแสงเงาจากช่องลม

ผลพลอยได้จากการติดตั้งผนังบล็อกช่องลมหรือการทำฟาซาดที่มีช่องว่างให้แสงลอดผ่านได้ ทำให้เกิดมิติของแสงและเงาที่ตกกระทบลงบนพื้น-ผนังบ้าน ซึ่งจะเปลี่ยนปแลงรูปร่างและทิศทางไปตามการเดินทางของแสงในแต่ละช่วงของวัน สร้างปรากฏการณ์ที่น่าตื่นตาให้บ้านธรรมดาดูพิเศษขึ้นโดยที่ไม่ต้องทำอะไรเพิ่ม

ถ้าพูดถึงมุมทานข้าวเอาท์ดอร์ หรือโต๊ะทานข้าวนอกบ้าน เราก็คงจะเห็นภาพตัวโต๊ะที่ถูกยกออกมาอยู่นอกชายคา แต่ที่นี่ออกแบบให้น่าสนุกกว่านั้นด้วยการทำท็อปโต๊ะไม้ขนาดใหญ่ ดัดเหล็กให้เป็นเหมือนเชือกแขวนท็อปโต๊ะทานข้าวเอาไว้ ให้อยู่ในตัวบ้านส่วนหนึ่ง แล้วปล่อยให้อีกส่วนหนึ่งของโผล่ทะลุผนังกระจกออกมานอกบ้าน ซึ่งวิธีการออกแบบลักษณะนี้ยังไม่เคยเห็นในบ้านหลังไหนมาก่อน